สำหรับคนที่อยู่บ้านของตัวเองมานานแสนนาน ทำให้บ้านสวยของเราสีที่ทาภายนอกซีดจืดจางลงไปนั้น วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้บ้านมีชีวิตชีวามากขึ้นก็ทำได้ด้วยการทาสีบ้านใหม่ เพียงเท่านี้ก็ทำให้บ้านเก่าของเราดูสวยเหมือนใหม่ได้ ทางทีมงานจึงได้ตามหาสุดยอดเทพเทคนิควิธีทาสีบ้านแบบคร่าวๆ มาให้ชม สำหรับเพื่อนที่ต้องการทาสีบ้านเอง หรือ เลือกทาเฉพาะส่วนที่ทาได้ง่าย บทความนี้รวมถึงวิธีการเลือกสี อุปกรณ์ที่ใช้ในการทาสี รวมถึงเทคนิคการทาสีแบบง่ายๆ อีกด้วย งานนี้ไม่่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก่าก็ทำให้เรามั่นใจและคล่องแคล่วที่จะทาสีบ้านกันมากขึ้นครับ
สีที่ใช้สำหรับงานปูน ได้แก่ สีทารองพื้นและสีจริง แตกต่างกันอย่างไร มีคำอธิบายครับ
1.สีทารองพื้น มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันครับ ได้แก่
– สีทารองพื้นชนิดที่ทำจากอะคริลิก ซึ่งจะช่วยป้องกันเชื้อราใช้ทารองพื้นผนังปูนฉาบทั่วๆ ไปก่อนทาควรผสมน้ำเจือจางประมาณ 20% ของสี
– สีทารองพื้นชนิดที่ทำมาจากอัลคาไล สีชนิดนี้นอกจากจะป้องกันเชื้อราได้ดีแล้วยังป้องกันความชื้นได้ดีกว่าสีทารองพื้นชนิดที่ทำจากอะคริลิกการใช้งานกับบ้านเก่าควรเลือกสีประเภทนี้ ชนิดรองพื้นปูนเก่า ผสมน้ำ 20% ทารองพื้นก่อนทาสีจริง
2.สีจริง หรือที่เราเคยได้ยินกันติดหูว่าสีน้ำพลาสติกนั่นล่ะครับ สีพวกนี้ทำมาจากสารจำพวกลาเท็กซ์และอะคริลิก
มีการยึดเกาะและยืดหยุ่นที่ดี มีส่วนผสมที่สามารถต่อต้านเชื้อราเหมาะกับสภาพอากาศเมืองร้อนอย่างบ้านเราทำความสะอาดง่ายก่อนใช้ควรผสมน้ำให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมตามที่ผู้ผลิตสีแนะนำไว้ (ข้างกระป๋องไงครับ)
สีที่ใช้สำหรับงานไม้
สีชนิดนี้มีประโยชน์ในด้านการป้องกันไม่ให้ความชื้นจากภายนอกเข้าไปทำลายเนื้อไม้ และ ยังช่วยรักษาความชื้นสัมพัทธ์ของเนื้อไม้เอาไว้ได้ดี ไม้จึงไม่เกิดการแตกร้าว หากได้รับการทาสีอย่างถูกวิธีสีทาไม้แบ่งออกเป็น 2 ชนิดเช่นเดียวกับสีทาปูน คือ สีรองพื้นและสีจริง
1.สีทารองพื้นไม้ มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันครับ ได้แก่ สีทารองพื้นไม้ชนิดผสมอะลูมิเนียม ใช้ทารองพื้นไม้ชั้นแรกเพื่อป้องกันยางไม้และความชื้นภายในไม่ให้ไหลออกมาปะปนกับสีจริง สีทารองพื้นไม้สีน้ำมัน เป็นสีที่แห้งเร็วเนื่องจากมีทินเนอร์เป็นส่วนผสมทำให้สีเจือจางเหมาะสำหรับทารองพื้นครั้งแรกหรือทาทับไม้ที่เคยทาสีอื่นมาก่อนสีชนิดนี้ทนทานต่อรอยขีดข่วนดี และทนความร้อนได้สูงถึง 90 องศาเซลเซียส
2.สีจริง คือ สีที่ทาลงไปชั้นนอกสุดเพื่อความสวยงาม สามารถเลือกได้ว่าจะใช้สีโทนไหนจะเอาหวานแหววหรือเข้มขรึมสักแค่ไหน แล้วแต่ความชอบของแต่ละท่านส่วนใหญ่ทำมาจากใยสังเคราะห์ เนื้อสีที่ทาแล้วจะมีความมันเป็นเงางาม มีการต้านทานเชื้อราที่ดีทนการขีดข่วนพอสมควร บางชนิดทนความร้อนได้สูงถึง 93 องศาเซลเซียส
สีที่ใช้สำหรับงานโลหะ จัดแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือสีทารองพื้นและสีจริง
1.สีทารองพื้นโลหะ มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันครับ ได้แก่ สีทารองพื้นโลหะชนิดผสมผงซิงค์โครเมท ภาษาชาวบ้านก็สีกันสนิมนั่นล่ะครับ สีชนิดนี้จะทำหน้าที่ป้องกัน ไม่ให้เหล็กสูญเสียอิเล็กตรอนให้กับอากาศ ดังนั้นเหล็กจึงไม่เกิดสนิม ก่อนทาควรกำจัดสนิมให้หมดเสียก่อน แล้วผสมให้เจือจางด้วยทินเนอร์ สีทารองพื้นโลหะชนิดที่ทำมาจากอีพอกซี่ ใช้ทารองพื้นผิวที่เป็นเหล็กป้องกันการกัดกร่อนได้ดีมาก สีชนิดนี้ส่วนใหญ่จะใช้ทารองพื้นโลหะในเรือเดินสมุทร
2.สีจริง เป็นสีที่ใช้ทาทับเพื่อความสวยงาม เป็นสีน้ำชนิดเดียวกับที่ใช้ทาไม้นั่นล่ะครับ เนื่องจากสีน้ำมันมีคุณสมบัติการยึดเกาะได้ดีทั้งไม้ ปูน และโลหะ (ผิวไม่เรียบ)
อุปกรณ์ทาสี
เครื่องไม้เครื่องมือที่คุณจะต้องเตรียมสำหรับการทาสีก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน ต้องเลือกใช้ให้ถูกประเภทของสี เป็นความรู้ในการเลือกซื้อถูก จะได้ไม่ต้องเสียเงินฟรี หรือเสียเวลาเอาไปเปลี่ยนการทาสีน้ำมัน คุณจะต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
1.แปรงสำหรับทาสีน้ำมัน มีขนาดความกว้างหลายขนาด หากพื้นที่กว้างก็เลือกชนิดหน้ากว้าง หากพื้นที่แคบก็เลือกขนาดเล็กๆ สักหน่อยสีจะได้ไม่เลอะส่วนที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณที่จะทา
2.ภาชนะผสมสี ควรเตรียมให้มีขนาดที่เหมาะสมเพราะการผสมสีต้องผ่านกรรมวิธีการคนสีให้เข้ากับทินเนอร์ก่อนทาไม่ควรใช้ภาชนะพลาสติกนะครับเพราะทินเนอร์หรือน้ำมันสนนั้นจะกัดเนื้อผิวพลาสติกจนละลาย
3.ภาชนะแช่และล้างแปรง เมื่อทาสีเสร็จเรียบร้อย แปรงต่างๆ ยังคงสามารถเก็บไว้ใช้ได้ดังนั้นเราควรมีภาชนะสำหรับแช่และทำความสะอาดแปรงด้วยภาชนะไม่ควรเป็นพลาสติก เพราะทินเนอร์หรือน้ำมันสนนั้นจะกัดเนื้อผิวพลาสติกจนละลายเช่นกัน
การทาสีน้ำพลาสติก มีอุปกรณ์ต่างออกไปจากสีน้ำมันดังนี้ครับ
1.แปรงดอกหญ้า (ทำมาจากดอกหญ้า) ชนิดเดียวกับที่เราใช้กวาดบ้านนั่นล่ะแต่จะไม่มีด้ามมัดให้ปลายดอกบานออกใช้จุ่มสีทาได้ ช่างมืออาชีพส่วนใหญ่จะใช้แปรงชนิดนี้แปรงชนิดนี้ใช้แรกๆ มักจะมีสีเหลืองตกออกมา ดังนั้นควรแช่น้ำให้สีตกออกมาเสียก่อน จึงนำไปใช้ทาสีได้
2. ลูกกลิ้ง จะดีกว่าแปรงตรงที่ทาสีได้สม่ำเสมอ และรวดเร็วกว่าแต่ลูกกลิ้งไม่สามารถทาแทรกเข้าไปตามซอกมุมได้ ดังนั้นจึงต้องใช้แปรงช่วยในการเก็บงานอีกครั้งหนึ่ง
การเตรียมพื้นผิว
1.ผิวโลหะ : ถ้าเป็นสนิม อย่ามองข้ามให้กำจัด (ให้สิ้นซาก) ให้หมดก่อนด้วยการใช้กระดาษทรายขัดบริเวณที่เป็นสนิม แล้วทารองพื้นกันสนิมก่อนทาสีจริงทับ
2.ผิวไม้ : ต้องมั่นใจว่าไม้นั้นแห้งสนิทแล้วจึงทำการขัดด้วยกระดาษทรายให้เรียบเช็ดฝุ่นผงไม้ที่เกิดจากการขัดออกให้หมด ก่อนทาทับด้วยสีรองพื้นไม้กันเชื้อราหากเป็นไม้เก่าที่ผ่านการทาสีมาแล้ว แต่สภาพดีก็สามารถใช้กระดาษทรายบะเอียดขัดได้เลยก่อนล้างฝุ่นออกรอให้แห้งสนิท แล้วจึงทาสีทับต่อไปแต่ถ้าสีเดิมมีการหลุดร่อน แตกลาย จะต้องใช้น้ำยากัดสีเก่าออกก่อน น้ำยากัดสีตัวนี้แรงนะครับก่อนใช้ต้องมีการป้องกีนร่างกายของเราด้วยการใส่ถุงมือและระวังอย่าให้กระเด็นถูกส่วนต่างๆ ของร่างกายเพราะว่าจะแสบมาก เมื่อลอกสีเก่าออกหมดแล้ว ควรทำความสะอาด จากนั้นทารองพื้น 2 ครั้งทิ้งระยะเวลาห่างกัน 24 ชั่วโมง ก่อนทาทับอีกครั้ง หรือตามคำแนะนำของแต่ละผลิตภัณฑ์ (ข้างกระป๋อง)ส่วนสีจริงต้องทาชั้นแรกทิ้งไว้ 16 ชั่วโมงแล้วค่อยทาชั้นที่ 2
3.ผิวปูน : หากเป็นผนังปูนใหม่ต้องรอให้ผนังแห้งดีเสียก่อนแล้วใช้กระดาษทรายลูบเพื่อให้เม็ดทรายหรือคราบน้ำปูนหลุดออก ก่อนทาทับด้วยสีรองพื้น และสีจริงตามลำดับหากเป็นผนังเก่าให้ตรวจดูสภาพหากชำรุดมากให้ทำการล้างและขัดออกด้วยแปรงลวดจากนั้นอุดโป้วรอยร้าวก่อนทำการขัดด้วยกระดาษทราย ทารองพื้นด้วยสีรองพื้นปูนเก่า 1 ครั้งและสีจริง 3 ครั้งก็เป็นอันพอจะรู้ขั้นตอนต่างๆ ของการทาสีกันบ้างแล้วนะครับสำหรับท่านใดที่ไม่มีเวลาแต่อยากเปลี่ยนบ้านหลังเก่าของคุณให้ดูใหม่ก็จ้างช่างครับแต่เตือนกันไว้สักเล็กน้อยครับ ช่างบางคนตบตาเจ้าของบ้านเพราะความขี้เกียจ เช่นการเตรียมผิวไม้ต้องขัดกระดาษทรายให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงทาสีช่างบางคนแอบใช้สีพลาสติกทาทับอุดรอยเสี้ยนไม้ไปเลย รอจนแห้งแล้วใช้สีน้ำมันทาทับดูว่างานสีน้ำมันค่อนข้างเรียบร้อยแต่นานไปจะเกิดการแตกและหลุดร่อนออกมาต้องรื้องานมาซ่อมกันใหม่ภายหลังแบบนี้ไม่ดีแน่ หากมีเวลาแอบดูวิธีการทำงานของช่างบ้าง ก็จะดีนะครับ
บทความจาก: HOME CARE ผู้แต่ง: คุณวุฒิ นิยมทรัพย์